หลักการและเหตุผล
ในประเทศไทยมีแหล่งอารยธรรมของมนุษยชาติ ศิลปะและวัฒนธรรมที่หลากหลาย ในแต่ละกลุ่ม ในแต่ละพื้นที่และในแต่ละจังหวัดที่แตกต่างกัน ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ลักษณะของกลุ่มชนต่างๆ มีอยู่หลายชาติพันธุ์ หลายวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไป โดยคนภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้อาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ มีอายุกว่าหนึ่งหมื่นปี มีหลักฐานยืนยันว่า คนภาคตะวันออกเฉียงเหนือโดยเฉพาะที่อยู่ในเขตแอ่งสกลนคร เริ่มอยู่รวมกันเป็นชุมชน โดยเลือกชัยภูมิที่เป็นเนินดิน น้ำท่วมไม่ถึง มีลำน้ำไหลผ่าน หรือมีแอ่งน้ำอยู่ไม่ไกลนัก และมีพื้นที่ราบโดยรอบพอสมควร เพื่อประโยชน์ในการเพาะปลูก ตามสภาพทางภูมิศาสตร์ของดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แบ่งออกเป็นสองส่วนคือ ส่วนที่อยู่ในบริเวณแอ่งสกลนคร อันได้แก่ จังหวัดสกลนคร หนองคาย อุดร ฯ หนองบัวลำภู นครพนม และจังหวัดเลย กับส่วนที่อยู่บริเวณแอ่งโคราช ได้แก่ จังหวัดกาฬสินธุ์ ขอนแก่น มหาสารคาม ยโสธร ศรีษะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ชัยภูมิ และจังหวัดนครราชสีมา โดยมีเทือกเขาภูพาน เป็นสันกั้นระหว่างสองแอ่งนี้ การขยายตัวของชุมชนโบราณของทั้งสองแอ่ง ได้ดำเนินสืบเนื่องมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ มาจนถึงยุคต้นประวัติศาสตร์ บริเวณแอ่งโคราช มีการขยายตัวทางวัฒนธรรม และการเมืองเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดนครรัฐที่มีวัฒนธรรมอินเดีย เช่น พุทธศาสนาฝ่ายมหายาน อักษรปัลลวะหรืออักษรคฤนท์ ดังนั้นในดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือจึงมีลักษณะการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และวัฒนธรรมหลายยุคสมัย
ดินแดนเขตจังหวัดกาฬสินธุ์ในอดีตมีร่องรอยอารยธรรมของมนุษย์มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงยุคประวัติศาสตร์ เช่น หลักฐานในสมัยหินกลางในจังหวัดกาฬสินธุ์ที่พบ เช่น เครื่องมือหินกรเทาะที่พบกระจัดกระจายตามแถบเทือกเขาภูพาน นอกจากนั้นยังพบภาพเขียนสีที่ถ้ำลายมือภูผาผึ้ง และถ้ำเชียงเมี่ยง เขตภูหัวนา ใกล้บ้านห้วยม่วง ตำบลหนองห้าง อำเภอกุฉินารายณ์ และอีกหลักฐานหนึ่งที่พบในหลุมฝังศพของเมืองฟ้าแดดสงยาง อำเภอ กมลาไสย เช่น เครื่องสังเวยในหลุมฝังศพ แต่ละหลุมจะมีคุณค่าแตกต่างกันไป แสดงให้เห็นถึงฐานะและระบบสังคม ความเชื่อ ดินแดนจังหวัดกาฬสินธุ์ มีกลุ่มชนละว้าอาศัยอยู่หลายกลุ่มไปมาหาสู่กันในดินแดนของอาณาจักรทั้งสาม คือ อาณาจักรทวารวดี อาณาจักรโยนก และอาณาจักรโคตรบูรณ์ ซึ่งอาณาจักรเมืองฟ้าแดดสงยาง เป็นชุมชนโบราณของชาวละว้ากลุ่มหนึ่ง ตามประวัติศาสตร์ได้กล่าวถึงเมืองกาฬสินธุ์ไว้ว่า รกรากเดิมเป็นถิ่นของชาวละว้า ตามตำนานสมัยขอมเรืองอำนาจ เมืองกาฬสินธุ์เดิมชื่อเมืองฟ้าแดดสงยาง เป็นเมืองที่สวยงามมากเมืองหนึ่ง เมืองโบราณยุคทวารวดี ที่พบในเขตจังหวัดกาฬสินธุ์ ที่มีขนาดเล็กยังพบที่บริเวณบ้านส้มป่อย ตำบลสระพังทอง อำเภอเขาวง บริเวณบ้านโนนศิลา อำเภอสหัสขันธ์ บริเวณวัดกู่ดาวพุทธนิมิต บ้านโสกทราย อำเภอสหัสขันธ์ บริเวณวัดโนนมะขาม บ้านห้วยม่วง อำเภอกุฉินารายณ์ มีการขุดพบหลักฐานต่าง ๆ เช่น จารึกวัดบ้านมะค่า พบที่บ้านมะค่า อำเภอท่าคันโท จารึกฐานพระพุทธรูป พบที่บ้านโนนศิลา อำเภอสหัสขันธ์ จารึกสถาปนาสีมา ที่วัดโนนมะขาม บ้านห้วยม่วง อำเภอกุฉินารายณ์ จารึกบ้านส้มป่อย พบที่วัดบ้านส้มป่อย อำเภอเขาวง จารึกภูค่าว พบบริเวณภูค่าว ตำบลโนนศิลา อำเภอสหัสขันธ์ จารึกบ้านสว่าง พบที่บ้านสว่าง ตำบลหนองแบน อำเภอกมลาไสย กลุ่มใบเสมาหินแผ่นเรียบ พบที่วัดภูค่าวพุทธนิมิตร บ้านโสกทราย อำเภอสหัสขันธ์ พระพุทธไสยาสน์ภูปอ พระพุทธไสยาสน์ภูค่าว อยู่ที่บ้านโสกทราย อำเภอสหัสขันธ์ โกลนพระพุทธรูปสมัยทวารวดี ใบเสมาสมัยทวารวดี ที่วัดบ้านดงสว่าง ใบเสมานานายสมใจ บ้านสงเปือย ตำบลสงเปือย อำเภอนามน เป็นต้น จากงานวิจัย พุทธสถาปัตยกรรมในสมัยทวารวดี (รศ.วัชรี วัชรสินธุ์, 2556) พบว่าลักษณะทางกายภาพของเมืองโบราณในลุ่มน้ำชี-มูล เมืองโบราณฟ้าแดดสงยาง ตำบลหนองแปง อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาคนสมัยก่อนมีความชาญฉลาดในการสร้างบ้านแปลงเมืองของชาวชุมชนโบราณ ด้วยความเข้าใจในคุณค่าทางทรัพยากรธรรมชาติและการสร้างสภาพแวดล้อมให้สอดคล้องกลมกลืนกับธรรมชาติ รวมถึงงานวิจัยของ วิชาภรณ์ ชำนิกำจร 2557 ได้วิจัยเกี่ยวกับ การมีส่วนร่วมของชุมชนในการอนุรักษ์และพัฒนาพื้นที่แหล่งประวัติศาสตร์ กรณีศึกษาเมืองฟ้าแดดสงยาง อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ ว่าการมีส่วนร่วมของประชาชนการจัดทำแผนพัฒนาการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองฟ้าแดดสงยางอยู่ในระดับมาก (3.51) เมื่อพิจารณารายด้านการมีส่วนร่วมด้านการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ (3.53) และการมีส่วนร่วมระดับการดำเนินการ (3.75)อยู่ในระดับมาก ส่วนการมีส่วนร่วมด้านรับผลประโยชน์และการประเมินผลอยู่ในระดับปานกลาง (3.51) รวมถึงงานวิจัยของ รศ.จารุวรรณ ธรรมวัตรและคณะ (2549) ได้วิจัยเกี่ยวกับการจัดฐานข้อมูลวัฒนธรรมเพื่อการคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมไทยพื้นที่ภาคอีสาน โดยเฉพาะในภาคอีสานได้จัดทำเฉพาะในส่วนของพิพิธภัณฑ์ของดีเมืองกาฬสินธุ์ และพิพิธภัณฑ์ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมโรงเรียนสมเด็จวิทยาคม ซึ่งจะเห็นได้ว่ายังขาดฐานข้อมูลทางด้านศิลปะและวัฒนธรรมที่ครบถ้วนในจังหวัดกาฬสินธุ์
ในปี 2553 ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมกับจังหวัดกาฬสินธุ์ ในโครงการศึกษาจัดทำแผนแม่บทพัฒนาเมืองฟ้าแดดสงยางอำเภอกมลาไสย ได้จัดทำแผนแม่บทพัฒนาพื้นที่เมืองฟ้าแดดสงยางเพื่อออกแบบรายละเอียดในการปรับปรุงพัฒนาเมืองฟ้าแดดสงยางโดยกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนและมีการศึกษาปัญหาและศักยภาพในด้านสถาปัตยกรรมและภูมิทัศน์ของพื้นที่ชุมชนเมืองฟ้าแดดสงยาง ซึ่งการวางแผนแม่บทดังกล่าวยังติดปัญหาในการนำสู่การปฏิบัติเพราะการออกแบบและปรับภูมิทัศน์มีการออกแบบปรับปรุงในพื้นที่ในเขตที่ดินโบราณสถานที่ทาง กรมศิลปากรประกาศในราชกิจจานุเบกษา จำนวน 910 ไร่ 3 งาน 75 ตารางวา ทำให้ต้องได้รับอนุญาตจากกรมศิลปากรก่อน ทำให้การขับเคลื่อนตามแผนทำได้บางส่วนเท่านั้น จึงขาดความต่อเนื่องในการพัฒนาพื้นที่
จากการลงพื้นที่ของคณะผู้วิจัยในช่วงเดือน มิถุนายน 2562 คณะผู้วิจัยได้สังเกตการณ์ สัมภาษณ์ และการจัดเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกับชุมชน พบประเด็นและโจทย์วิจัยในพื้นที่หลายประเด็น ดังนี้
1) ชุมชนยังขาดกลไกในการวางแผนและพัฒนาพื้นที่ทางวัฒนธรรมซึ่งจากการระดมสมอง พบว่า มีหลายหน่วยงานเข้ามาใช้พื้นที่ในการจัดกิจกรรมหรือโครงการแต่ยังขาดการประสานงานกันของหน่วยงานต่าง ๆ และขาดความต่อเนื่องในการพัฒนาพื้นที่
2) พบว่าชุมชนยังไม่มีแผนและทิศทางในการพัฒนาพื้นที่ทางวัฒนธรรม เนื่องจากติดกรอบของพื้นที่โบราณสถานตามประกาศของกรมศิลปากร ทำให้ขาดความชัดเจนในการพัฒนาในพื้นที่และไม่ได้มีการแลกเปลี่ยนและวางแผนการพัฒนาจากทุกภาคส่วนโดยเฉพาะร่วมกับกรมศิลปากร
3) ข้อมูลเบื้องต้น พบว่า รายได้ที่เกิดจากมรดกทางวัฒนธรรมทั้งที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้ อันดับหนึ่งเกิดจากช่วงเทศกาล 2 งานสำคัญ คือ วันมาฆบูชา และวันวิสาขบูชา ซึ่งจะมีนักท่องเที่ยวมาเป็นจำนวนมาก เป็นผลมาจากการยกระดับการจัดงานเป็นระดับจังหวัด ซึ่งมีหน่วยงานของจังหวัดหลายภาคส่วนเข้ามาช่วย ทำให้เกิดรายได้จากการจัดงานวันวิสาขบูชาที่ผ่านมา (วันที่ 16 -26 พฤษภาคม 2562) รวม 11 วัน มีรายได้รวม 18,506,772 บาท แต่เป็นที่น่าสังเกตว่ารายได้ของผู้ประกอบการของอำเภอกมลาไสย มีรายได้จากการขายสินค้าในตลาด ของดี อำเภอกมลาไสย เพียง 194,562 บาท (6 วัน) ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 10 จากรายได้ของผู้ประกอบทั้ง 18 อำเภอ ซึ่งจากการวิเคราะห์ร่วมกันของชุมชน พบว่า การจัดการในพื้นที่ของตลาดยังไม่เหมาะสม คือ พื้นที่ขายสินค้าต้องจับฉลาก (ผู้ลงทะเบียนเยอะกว่าจำนวนพื้นที่ที่จัดสรร) ซึ่งชุมชนจับฉลากไม่ได้พื้นที่เหมาะสมและสินค้าของชุมชนยังไม่เป็นที่ต้องการของนักท่องเที่ยว และมีมูลค่าของสินค้าไม่แพง เมื่อเทียบกับอำเภอที่มีรายได้จากการขายมากที่สุด คือ อำเภอสามชัย ซึ่งสินค้า คือ ผ้าไหมแพรวา มีมูลค่าต่อชิ้นในราคาที่สูง และพบว่าผู้ประกอบการทางศิลปวัฒนธรรมในพื้นที่ยังขาดการวางแผนและพัฒนาศักยภาพให้สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคและการสร้างความเป็นอัตลักษณ์ของสินค้าทางวัฒนธรรม
4) พบว่าผู้ประกอบทางวัฒนธรรมในพื้นที่ประกอบด้วย
4.1) การทำธุงถวายพระธาตุในช่วงเทศกาลวันสำคัญและมีการประยุกต์เป็นเครื่องประดับ เช่น ปิ่นปักผม เข็มกลัด ตุ้มหู ซึ่งกำลังได้รับความนิยม มีการรับออเดอร์มากถึงเดือนละ 30,000 บาท และการทำธุง ชุมชนในพื้นที่สามารถทำได้เกือบทุกครัวเรือน
4.2) หมู่บ้านท่องเที่ยวมีรายได้จากการทำโฮมสเตย์ 23 หลัง และขายสินค้าเช่น ธุง สินค้าเกษตร ในปี 2562 มีรายได้รวมมากกว่า 2 แสนบาท
4.3) ผู้ประกอบการแกะใบเสมาจำลองซึ่งมีคนเดียวในชุมชนยังขาดผู้สืบทอด
4.4) ผู้ประกอบการรำแก้บนพระธาตุและการแสดงถวายพระธาตุ ซึ่งมีในชุมชนแต่การแสดงจะขึ้นอยู่ผู้ว่าจ้างมีรายได้ไม่แน่นอน ซึ่งผู้ประกอบการเหล่านี้ยังไม่ได้รวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจชุมชนที่เข้มแข็งซึ่งจะทำให้เกิดอาชีพ เกิดรายได้ที่ยั่งยืน และชุมชนได้รับการพัฒนาในทิศทางที่มีพลัง มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ซึ่งเป็นหน่วยงานทางวิชาการในพื้นที่และภาคีที่เกี่ยวข้องอีก 4 ภาคีที่สำคัญได้ร่วมกันวางกรอบการวิจัยเพื่อเป็นทิศทางการทำงานร่วมกันคือ 1) สร้างกลไกขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่ทางวัฒนธรรมทวารวดีเมืองฟ้าแดดสงยางจากภาคีหลัก 2) การพัฒนาศักยภาพพื้นที่ทางวัฒนธรรมโดยใช้การท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมเป็นฐาน 3) การพัฒนาและเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการทางศิลปวัฒนธรรม 4) การจัดตั้งกลุ่มวิสาหกิจวัฒนธรรมชุมชนเพื่อสร้างงาน สร้างเงิน สร้างชุมชนเข้มแข็งให้กับชุมชนโดยใช้ทุนทางวัฒนธรรมเป็นฐานและ 5) การวัดและประเมินผลความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจบนฐานวัฒนธรรมทวารวดีเมืองฟ้าแดดสงยางจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งกรอบการวิจัยที่วางไว้ร่วมกันจะสามารถยกระดับเศรษฐกิจชุมชนบนฐานวัฒนธรรมได้ในอนาคต และมหาวิทยาลัยจะใช้การวิจัยเชิงพื้นที่ทางวัฒนธรรมเป็นฐานเพื่อการพัฒนาชุมชนที่ยั่งยืนตามพันธกิจหลักของมหาวิทยาลัยต่อไป